ย้ายบ้านไปอัพที่ Blogspot เเล้วจ้า
ข้าวมันไก่สูตรเเหม่มมี่ฉลองตรุษจีน
กรี๊ดดด ตรุษจีนเเล้วเหรอเนี่ยจำอะไรไม่ได้เลยชีวิตนี้ ตอนนี้จำได้เเค่วันอาทิตย์พอเข้าวันจันทร์ต้องมาทำงานชีวิตเเหม่มซังเริ่มลืมเลือนอีกละ บรรยากาศตอนไปเกาหลียังจำได้ดี ผ่านมาจนจะหมดเดือนมกราคมเเล้วเหรอเนี่ย ชีวิตช้านนนนยังไม่ได้ทำไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย (เฮ้อ)
นึกคึกอยากหม่ำข้าวมันไก่ เพราะเมื่อวันก่อนไปหม่ำที่ร้านอาหารไทยเเถวบ้านไม่หนำใจ เลยทำเองซะเลยพร้อมเกณฑ์พลพรรคเเถวบ้านใครว่างมาร่วมกันกิน อารมณ์นั้นทำเหมือนจะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน ฮ่า ฮ่า พี่ชายคิ้วต่ำของเราโพสต์ในเฟสบุคว่าใครอยากทานหนมเทียนมั่งจะเอามาเเบ่ง เราก็เอะใจนะวันไรมีหนมเทียน กรรม ตรุษจีนเเล้วนิหน่า เหอ เหอ
เลยลากพี่ชายคิ้วต่ำมาหม่ำด้วยงานนี้เราเลยได้กินหนมเทียนไกลบ้าน อร่อยโฮกเหมือนกินที่ไทยเลย พี่คิ้วต่ำก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งนิดหน่อยว่าใบตองเเพง อย่างนี้ล่ะใบตองนำเข้า ห่อละสองร้อยกว่าบ้าน ถ้าซื้อที่ไทยคงเหมาได้ทั้งสวน
วันที่ทำข้าวมันไก่ ก็ทำเค้กไปด้วยพอดีได้สูตร Double chocolate banana mousse cake กะว่าจะทำไปให้น้อง ๆ ที่เเลบหม่ำซะหน่อย ไหงกลายเป็นเด็ก ๆ ที่มาหม่ำข้าวมันไก่กินกันซะหมดไปได้ เพราะว่าทนเเรงรบเร้าไม่ไหว มีเสียงเรียกร้องว่าอยากหม่ำเค้ก ๆๆๆ สุดท้ายเลยต้องยกเค้กทั้งก้อนให้กับเเก๊งค์ข้าวมันไก่ซะนี่ เฮ้อ
เมื่อสองสามวันก่อนไปทานสปาเกตตี้ที่ร้านเเถวมหาลัยมา (เอิ่ม ช่วงนี้มีเลือกวันนิดหน่อย เพราะน้องคนเสิร์ฟหน้าใสกิ๊ก) เห็นสาวโต๊ะข้าง ๆ สั่งชูครีมมาน่ากินมากกกก เลยลองมาบ้าง อร่อยสุด ๆ อ่ะ ข้างในเป็นไอติมด้วย ส่วนพี่ขวัญสั่งหนมปังปิ้งมา เป็นหนมปังปิ้งที่รอนานสุดในสามชาติ ตอนรอก็จินตนาการว่าต้องเป็นหนมปังปิ้งที่อเมซซิ่งมาก ที่ไหนได้ก็หนามปังปิ้งราดกล้วย แอบเเพงอีกต่างหาก
Thai charity food fair
งานนี้จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่เเล้ว วัตถุประสงค์ของงานก็เพื่อนำรายได้ไปบริจาคที่สภาสังคมสงเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ งานนี้เราทำหน้าที่เป็นเเม่นางเฝ้าของ เอ้ย ไม่ใช่ เราทำหน้าที่เป็นผู็้ควบคุมการเเจกของรางวัลให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ หน้าที่หลัก ๆ ก็ไม่มีไรมาก ยิ้ม ยื่นของ เชคว่าตรงกับที่เค้าจับฉลากได้ไหม งานนี้มีการขายบัตรจับฉลากล่วงหน้า รางวัลใหญ่ของงานเป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับไทย ซึ่งงานนี้พี่ที่จับรางวัลได้เป็นซื้อตั๋วไปประมาณยี่สิบกว่าใบ เเม่เจ้าาาาาา
ในงานก็มีการขายอาหารหลายอย่าง พี่ ๆ น้อง ๆ นักเรียนไทยทุกคนที่อยู่ในฮิโรชิมามาร่วมด้วยช่วยกันขยันขันเเข็งเป็นอย่างดี อาหารที่ทำขายก็เป็นอาหารไทย ๆ สไตล์เผ็ดเเสบร้อน ลาบเอย ต้มข่าไก่ เเกงเขียวหวานไก่ งานนี้ทำให้รู้ว่าคนญี่ปุ่นไม่เกรงกลัวพริกกันจริง ๆ บางคนกินจนปากบวมเป็นเเองเจลิน่า โจลี่โดยไม่ต้องศัลยกรรมเหตุเพราะเผ็ด
งานนี้น้อง ๆ มารำให้ฟรี เเต่ละคนขนพร๊อพมาเต็มที่ เต้นกันเเบบเหมือนจ้างมาล่วงเวลา เเต่ที่เราฮาสุด ๆ คือมีน้องคนนึงขอขึ้นมาร้องเพลงบนเวทีเองเลย น้องบอกว่าอุตส่าห์เเต่งสวยมาเพื่อให้ได้ปรากฏตัว เลยขอทางทีมงานร้องเพลง จบเพลงน้องบอกว่ามีความสุขมากอารมณ์ประมาณนางสาวไทยได้มงกุฎประมาณนั้น
ส่วนการเเสดงเซทนี้ไม่ต้องพูดถึง เรียกเสียงฮือฮาได้สุด ๆ การเเสดงมวยไทย ตอนที่พี่เค้าเเสดง กองเชียร์ด้านล่างก็ตะโกนโหวกเหวกว่าก้านคอ ๆ ๆ เอิ่ม พี่นักมวยทำหน้าเหนื่อยเหงื่่อเเตก เราล่ะเสียวเเกจะก้านคอคนดูมากกว่า โทษฐานกดดันเเก ฮาาาา
งานนี้พี่ชายคิ้วต่ำของเราโชว์ฝีมือชาววังทำขนมไทย พระเจ้า ไม่อยากเชื่อ เเต่พี่ชายก็ได้เเสดงให้เห็นเเล้วว่า ขนมเล็บมือนาง ขนมบ้าบิ่น ของไทยเรานั้นขายดีเป็นเทกระจาย คนขายตักกันไม่ทันเลยทีเดียว
สรุปจากยอดขายที่ได้ในงานถือว่างานนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เย้
เสร็จงานมีไปดื่มกันต่อเล็กน้อยที่ร้านเเถวบ้านเรา เเต่ละคนอย่าเรียกว่าดื่มเลย เรียกว่ากรอกเหอะ ดื่มกันกระหน่ำมาก จนน้องพนักงานไม่ต้องไปไหนยืนเฝ้าโต๊ะกันเลย ดูจากสภาพก็คงไม่ต้องบรรยายต่อ ฮ่า ฮ่า
New year trip 2012 @ Korea Last day
วันสุดท้ายของทริปเกาหลี วันนี้เราจะชิว ๆ กัน วันนี้เป็นวันปีใหม่ตรงกับวันที่หนึ่งมกราคมพอดี เราสองคนเลยเเพลนกันว่าจะไปไหว้พระกันเเต่เช้าเเล้วเดินเล่นชิว ๆ หาของหม่ำกัน เราเลยออกเดินทางเเล้วฝากกระเป๋าไว้ที่โรงเเรม มุ่งหน้าไปวัด Jogyesa เพราะวันเเรกที่เรามาถึงกันก็ค่ำเเล้ว
วันนี้คนมาทำบุญไหว้พระที่วัดเยอะมาก เเถมมีพิธีสวดมนต์กันเเต่เช้า เราสองคนเข้าไปด้านในลึก ๆ ไม่ได้ก็ได้เเต่เเอบ ๆ อยู้ริมประตูวัดนั่นล่ะ พอคนเปิดประตูออกมาเเต่ละทีก็ตัวสั่นเลย ฮ่า ฮ่า
ยืนสวดมนต์กันได้ซักพัก ท้องก็เริ่มทำงานเหมือนเคย เลยขอลาหลวงพ่อไปหาของทานกันก่อน มื้อนี้เราก็เลยเดินหาของกินเเถว ๆ วัด ที่น่าเเปลกคือร้านรวงเปิดช้ามาก ส่วนมากเปิดประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง เราก็เลยสุ่ม ๆ เข้าร้านนึงสรุปเป็นร้านเหล้าครับ เเต่โชคดีที่ยังมีเมนูอาหารกลางวันให้สั่ง มาเกาหลีเลยสั่งมื้อสุดท้ายเป็นสปาเกตตี้คาโบนาล่าซะ เอิ่ม เป็นสปาเก๊ตตี้ที่เราทำยังอร่อยกว่า เหอะ เหอะ เราสองคนไม่กล้าเสี่ยงสั่งอาหารที่ทำให้ท้องเสีย เพราะวันนี้ต้องกลับญี่ปุ่นเเล้ว
ทานเสร็จเราอยากนั่งเล่นชิว ๆ เลยไปนั่งชิวกันต่อที่ร้านดงกิ้นโดนัส ที่เกาหลีเนี่ยร้านดังกิ้นท่าทางจะขายดี เพราะเจอเเต่ร้านใหญ่ ๆ ส่วนที่ญี่ปุ่นไม่มีดังกิ้นมีเเต่มิสเตอร์โดนัท ส่วนตัวเราชอบกินดังกิ้นโดนัทมากกว่า
นั่งเม้ามอยกันไปเรื่อย เกือบได้เวลาเราเลยออกจากร้าน พลันสายตาเราสะดุดร้านขายของกิฟท์ช๊อบ เราเลยเเวะเดินเล่นเเป๊บนึง พอเดินซักพัก พี่ขวัญอุทานว่า เเหม่มกระเป๋าพี่อยู่ไหน สรุปเจ๊ขวัญลืมกระเป๋าในร้านดังกิ้น ถ้าหายเนี่ยซวยเเน่นอนเพราะว่าพาสปอร์ตอยู่ในกระเป๋าด้วย
เรามารอรถบัสกลับไปสนามบินที่ป้ายหน้าโรงเเรม สะดวกดี ไม่รู้ว่านั่งนานไหมเพราะว่าเราหลับตลอดทาง ระหว่างทางกลับ จนนั่งเครื่องเราสองคนเงียบมาก อาการไม่อยากกลับญี่ปุ่นเริ่มมาให้เห็นเป็นระยะ สรุปอาการนี้เรียกว่า ไม่อยากเผชิญโลกเเห่งความเป็นจริง ฮาาาา
new year trip@Korea (4) ชมสวนต้องห้าม เดินเล่นตลาด ช๊อปกระจาย
วันนี้เรามีเเพลนไปพระราชวัง Changdeok-gung (창덕궁,昌德宮) (Metro Line 3, Anguk station 5 min walk or Line 1, 3, 5 Jongno-3ga Station) พระราชวังนี้เป็นพระราชวังที่สองสร้างถัดจากเคียงบกกุง ความสำคัญของวังนี้ที่ทำให้เราต้องมาให้ได้คือ ถูกจัดให้เป็น UNESCO world heritage เลยน้า
โดยส่วนตัวชอบพระราชวังนี้มากที่สุดที่ดูมาในเกาหลี เพราะว่าสถาปัตยกรรมสวยงามจริง ๆ
ตัวพระราชวังโดยรวมเล็กกว่าเคียงบกกุง
สถานที่ที่ทำให้วังนี้มีชื่อเสียงมาก ๆ เลยคือ Huwon (secret garden) เราเรียกเองว่าสวนต้องห้าม การจะเข้าชมสวนนี้ไม่สามารถเดินไปดูด้วยตัวเองได้ ต้องรอไกด์เกาหลีเป็นคนนำไป ระยะเวลาทัวร์ในสวนก็ประมาณสองชั่วโมง พอดีว่าตั๋วที่เราซื้อเเบบ combination สามารถใช้กับสวนนี้ได้เราเลยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม สวนนี้ในอดีตเป็นสวนที่ห้ามคนนอกเข้า เป็นพื้นที่สำหรับกษัตริย์หรือเเขกวีไอพีเท่านั้น สามารถเชคตารางเข้าชมได้จากเวบไซต์ของวัง มีให้เลือกทั้งเเบบเกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ อ่อ ลืมไปว่าคนญี่ปุ่นมาเที่ยวที่เกาหลีเป็นอันดับต้น ๆ เลย คนเกาหลีที่นี่ส่วนมากจะพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีมาก
ในส่วนของสวนต้องห้ามที่เข้าชม ก็จะมีพื้นที่ส่วนของห้องสมุดสำหรับกษัตริย์ เเล้วก็มีพื้นที่สำหรับให้ทรงพักผ่อน ชมการเเสดงต่าง ๆ จริง ๆ เเล้วเราคิดว่าไม่น่าเรียกว่าสวนนะเรียกว่าพื้นที่ป่าย่อม ๆ ดีกว่า อากาศด้านในหนาวกว่าส่วนตัววังมาก ไกด์สาวถามเราว่าเราหนาวมากเหรอ (เค้าเห็นเราเต้น) เราบอกว่าปล่าวเพราะว่าถ้าเราขยับตัวจะทำให้อุ่น ไกด์สาวบอกต่อว่าวันนี้ไม่หนาวนะ (ติดลบเนี่ยนะ) เมื่อปีที่เเล้ว ลบสิบหกองศา อุเเม่เจ้า เเค่นี้เราก็เจ็บคอจะเเย่เเล้ว ลบสิบหกเนี่ยท่าทางจะหน้าชา ยิงเลเซอร์ไม่ต้องฉีดยาชากันเลยทีเดียว ฮ่า ฮ่า
เดินมาส่วนด้านในจะเจอส่วนที่พักของคนรับใช้ในวัง จะเเยกเป็นส่วนชาย หญิง ตัวอาคารจะเเบ่งเเยกอย่างชัดเจน ส่วนของหอชายจะมีห้องให้อ่านหนังสือ ที่พักทำโอ่อ่า ไกด์สาวบอกว่าคนเกาหลีสมัยก่อนจะให้ความสำคัญกับชายมากกว่าหญิง ส่วนหอหญิงมีเเค่ที่นอนกับห้องครัวไว้ให้ทำอาหารเลี้ยง ไกด์สาวตั้งคำถามว่าคิดว่าปัจจุบันเป็นยังไง เธอเฉลยว่า ปัจจุบันหญิงเกาหลีเหนือกว่าชาย อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ค่อยได้ดูซีรีย์เกาหลีซะด้วย
หลังจากเดินครบสองชั่วโมง ขอบอกว่าหนาวมาก รองเท้าบู๊ทที่เราใส่ไปถึงขั้นปริ กรี๊ดดดด คู่นี้ไม่ได้ซื้อตอนเซลล์ซะด้วยซิ เสียใจ
จบจากเดินชมสวนเเละวังโดยรอบ เราเดินไปหาของกินเเถวตลาดนัมเเดมุนกัน ตลาดนี้เป็นตลาดที่ขายสินค้าพื้นเมืองที่ใหญ่สุดในเกาหลีของที่เราได้ติดไม้ติดมือกลับมาคือ ชอคโกเเลตจากเจจูเอาไปฝากเด็ก ๆ ที่เเลบ มาโซลเเต่ได้ของฝากจากเจจู ฮาาา
มื้อกลางวันฝาท้องเอาไว้ที่ร้านเเถวตลาดนัมเเดมุน เป็นซุปร้อน ๆ มีผัก เห็ดเเล้วก็เนื้อ อร่อยดี
เเพลนเเรกเราสองคนกะว่าจะไป Jongmyo Shrine กันต่อ เเต่เพราะเราเดินในวังเเรกกันนานมาก เจออากาศที่หนาวมาก พี่ขวัญก็น้ำมูกยืดตลอดทาง เราเลยยกเลิกทริปนี้กระทันหัน พี่ขวัญเลยรีเควสขอเดินห้างเเทน เราสองคนเลยไปช๊อบต่อกันที่ห้างเเถว ๆ Seoul station
มาช่วงปีใหม่นี้มีข้อดีคือ ทุกห้างพากันพร้อมใจลดกระหน่ำ เราถูกใจสไตล์เสื้อกันหนาวที่นี่มาก ไปเจอเสื้อกันหนาวขนเป็ดกับรองเท้าขนเเกะลดราคา พอคำนวณออกมาเป็นเงินเยนเเล้วไม่มีทางหาได้ถูกเเบบนี้ที่ญี่ปุ่นเเน่นอน เลยซื้อซิครับงานนี้ พอซื้อกลับมาเพื่อนโยสรรเสริญว่า ยูรู้ไหมว่าเค้าต้องใช้เป็ดกี่ตัว เหอ เหอ
ข้อดีของการซื้อของในห้างอย่างนึงคือ เราเคลม Tax ได้ เเต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับคืนเพราะว่าตอนไปรอเอาที่สนามบิน คนต่อเเถวยาวมาก คาดว่าถ้ารอต่อเเถวเราคงตกเครื่อง เลยไม่ได้เอาเงินคืน เสียใจรอบสอง (รอบเเรกรองเท้าบู๊ทปริ) ฮ่า ฮ่า
ไม่ค่อยจะบ้าเห่อเลยเราได้มาก็ต้องใส่เลย
มื้อเย็นเราจัดหนักกันอีกเเล้ว เพราะตอนไปโซลทาวเวอร์เดินผ่านร้านขาหมูเเล้วก็เล็งเอาไว้ว่าต้องหม่ำให้ได้ สรุปร้านนี้เป็นร้านเหล้า เเต่ขาหมูเป็นกับเเกล้ม เอิ่ม สั่งเบียร์มาเเบ่งกัน เป็นเบียร์ที่ประหลาดมากกก เพราะเป็นเบียร์เปรี้ยวเกิดมาเพิ่งเคยเจอ ฮ่า ฮ่า วิธีการหม่ำก็ทานขาหมูคู่ไปกะผักเเละกิมจิ (ทุกจานมาอย่างเบ้งเฉพาะขาหมูเนี่ยก็หนึ่งขาเต็ม ๆ) มื้อนี้หมดไปประมาณสามหมื่นวอน เเต่อิ่มกันยันเช้า
วันนี้เป็นคืนปีใหม่ที่เงียบมาก หรือเราไม่รู้ว่าเค้าไปฉลองกันที่ไหน เรากะพี่ขวัญเลยกะว่าจะฉลองที่ห้องนี่ละ ห้ามหลับจนกว่าจะเที่ยงคืน พี่ขวัญอาสาเลี้ยงเบียร์เรา เราเลยได้มาคนละกระป๋อง เเต่สุดท้ายดื่มกันไปยังไม่ถึงครึ่งกระป๋องนั่งรอจนกว่าจะเที่ยงคืนเเล้วก็หลับคาเบียร์กันเลย ฮาาาาา
new year trip@Korea (3) พระราชวังฤดูร้อน เดินตลาด ดูน้องปลา
วันที่สามของทริป เราตื่นมาเเบบอ่อนละโหยโรยเเรงมากเพราะว่าเมื่อวานหม่ำของเผ็ดเข้าไปเราท้องเสียตั้งเเต่เมื่อคืน เช้านี้เลยขอหาอะไรร้อน ๆ รองท้องหน่อย
สรุปก็เลยเลือกร้านเเถวโรงเเรม อาหารที่สั่งมาเป็นต้มคล้าย ๆ เกี๊ยวที่ไทย ไส้ข้างในเป็นหมูกับผัก โรยสาหร่ายโปะหน้าหน่อย เราหม่ำไปได้ไม่หมดชาม เราสองคนต้องรีบเชคบิลด่วนวิ่งกลับมาโรงเเรมเเทบไม่ทัน เำพราะว่าท้องเสียยังไม่หาย รีบเดินออกจากร้านเเทบไม่ทัน หนึ่งกลัวป้าเจ้าของร้านโวย ทานเหลือเยอะ สอง ท้องมันไม่ไหวเเล้ว ฮ่า ฮ่า
ห้องน้ำเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรามาก เพราะเป็นคนท้องไส้ไม่ค่อยดี ทานอะไรผิดปกติก็จะออกหมด ห้องน้ำที่เกาหลีไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ โดยเฉพาะตามที่สาธารณะ
ที่เเรกที่เราไปเดินคือ ตลาดนัมเเดมุน ลักษณะคล้าย ๆ กับสำเพ็ง พาหุรัดที่ไทย มีของขายเกือบทุกอย่าง ที่สำคัญสามารถต่อราคาได้อย่างสนุกสนาน เเต่เราซื้อเเค่ของฝากนิดหน่อยกับขนม พอดีเดินผ่านร้านซาลาเปาเจ้านี้คนต่อเเถวเยอะมาก เเถมซาลาเปาลูกโตมาก เลยต่อคิวซื้อมาชิมกัน อร่อยดี เนื้อซาลาเปาคล้าย ๆ หมั่นโถ ข้างในเป็นไส้ถั่วเเดงร้อน ๆ
เดินเล่นที่ตลาดเสร็จ เราก็มาทานมื้อเที่ยงกัน มื้อนี้เราขอรีเควสเอาเเบบเบา ๆ ไม่เจ็บตัว ไม่เอากิมจิ เลยกลับมากินอาหารญี่ปุ่นโดยคนเกาหลีทำ ฮ่า ฮ่า (หนีญี่ปุ่นยังมาหม่ำที่เกาหลีอีกกก) เเต่ก็เป็นอาหารที่เซฟสุดนะ
เรานั่งรถไฟใต้ดินไปเดินพระราชวังกันต่อ พอดีว่าซื้อตั๋วเข้าชมวังกับศาลเจ้าเเบบ combination ราคาเเค่หมื่นวอน ถ้าใครชอบเดินเล่นในวังเเนะนำซื้อตั๋วนี้ดีกว่าซื้อเเยก เพราะราคาถูก พระราชวังชางเกียงกุงเป็นพระราชวังฤดูร้อน ตอนเดินเข้ามาอารมณ์ต่างจากเคียงบกกุง เพราะว่าจะค่อนข้างเล็กกว่า เเล้วที่สำคัญเงียบมาก ๆ คนไปน้อยมาก ๆ (เเหงซิ ใครเค้าจะมาเดินตอนหน้าหนาวยะ) เราลองเดินดูรอบ ๆ ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ เพราะว่าลักษณะตัววังของที่เกาหลีก็จะคล้าย ๆ กัน เเละที่สำคัญหนาวเหมือนเคย หนาวขนาดน้ำเป็นน้ำเเข็งเลย ภายในวังมีต้นไม้เยอะมาก คิดว่าถ้ามาตอนใบไม้เเดงน่าจะสวยกว่า มาหน้าหนาวต้นไม้ส่วนมากก็จะโกร๋น ๆ
เดินเล่นรอบวังได้ซักพัก เราเลยไปหาที่อุ่น ๆ ในตัวตึกพักกันดีกว่า ตอนเเรกอยากไปดู อควาเรียมที่ตึก 63 เราเป็นพวกชอบดูสัตว์ทุกชนิด ตอนเเรกกะว่าจะไปที่นี่พออ่านจากคอมเมนต์เลยเปลี่ยนใจไปตึก COEX เพราะที่นี่มีอควาเรียมที่ใหญ่กว่า
พอมาถึง COEX mall กว้างมาก ๆ คาดว่าน่าจะใหญ่กว่าเวิร์ดเทรดที่ไทยอีก พอออกจากรถไฟใต้ดินก็เดินตรงสุด ๆ (ค่อนข้างไกลเหมือนกัน) ตามทางจะมีป้ายบอกตลอดว่าอควาเรียมอยู่ตรงไหน
ปัญหาของการดูปลาในอคาเรียมครั้งนี้คือ ต้องเเย่งเด็กดู เพราะว่าเด็ก ๆ เยอะมาก เพราะเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่
ตัวอควาเรียมไม่ได้ใหญ่มาก เเต่การจัดพื้นที่ในอคาเรียมค่อนข้างใช้ได้ เราเคยไปอควาเรียมที่โอซาก้าที่นั่นใหญ่กว่า เเล้วก็ตื่นตากว่า เเต่โดยรวมที่นี่ก็โอเค เเต่ต้องนั่งรถไฟใต้ดินค่อนข้างไกลหน่อย เเถมในมอลล์ยังมีพื้นที่ให้เดินเล่น เเถมของกินให้เลือกเยอะเเยะ
มาสะดุดตากับปลาฉลามยักษ์ ตัวจริงใหญ่มาก ไม่เเน่ใจว่าอ้วนหรือว่าเป็นที่พันธ์ ฮ่า ฮ่า
มื้อเย็นวันนี้ก็มาจบที่ไก่ต้มโสมเหมือนเดิม เพราะว่าอยากทานมากกกก บ่นกับพี่ขวัญตลอดทางว่าอยากทานอีก สุดท้ายเลยได้หม่ำสมใจ เเถมวันนี้อร่อยกว่าร้านเเรก สังเกตุทุกเมนูต้องมีเครื่องเคียงเป็นกิมจิตลอด เลยนั่งสงสัยว่าเวลาเราทานอาหารไทยเนี่ย เราต้องทานคู่กับน้ำปลาพริกตลอดรึเปล่า มื้อนี้เราหม่ำได้เเค่ผักสดเพราะว่าไม่อยากเสี่ยง
ไก่ต้มโสมร้านนี้น้ำจะข้นกว่าร้านเเรกที่เราไปลองราคาต่อชามก็ประมาณ 13000 won เเต่ขอบอกว่าเยอะมาก เรากับพี่ขวัญควักทั้งเกลือเเละพริกมาเหยา่ะกันเต็มที่ เห็นเเล้วสงสารคนทำ ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่นเนี่ยมีเคือง ฮ่า ฮ่า เหมือนเราไม่ให้เกียรติคนทำประมาณว่าอาหารเค้าไม่อร่อย เเต่ไก่ต้มโสมรสชาติจะจืด ๆ มาก (เเต่อร่อย) ถ้าเติมเกลือกะพริกหน่อยนะ อร่อยเหาะเลยอ่ะ
new year trip@Korea (2) เลาะวัง ชมวิวสูงที่โซลทาวเวอร์
ตื่นเช้ามาวันที่สองด้วยอาการตกใจ เจี๊ยกกกก โทรไปที่ฟร้อนท์ตั้งเเต่เมื่อวานบอกให้ช่วยปลุกด้วย พี่ฟร้อนลืมโทรมาปลุก เเพลนว่าจะตื่นเเต่เช้าก็มีอันเลทกันเล็กน้อย
วันนี้ตอนเเรกมีเเพลนจะไปเกานามิกัน เเต่อากาศหนาวมาก กลัวว่าพี่ขวัญจะไม่สบายเอาเราเลยเลื่อนเเพลนไม่ไปเกาะนามิเเต่เที่ยวในโซลเเทน เเผนเลยเปลี่ยนไปพระราชวังเคียงบกกุง อากาศวันนี้หนาวเหมือนเดิม (หนาวมากกว่าเดิมซิ) ยิ่งโดยเฉพาะพระราชวังเนี่ยหนาวมาก วังที่นี่ใหญ่โตมาก ๆ เทียบกับวังที่ญี่ปุ่นไม่ได้เลย วังที่ญี่ปุ่นจะไม่อลังการขนาดนี้ เราเดาเอาเองว่า ที่ญี่ปุ่นพื้นที่ราบน้อยกว่า (มั้ง)
อากาศที่นี่ค่อนข้างขมุกขมัว ไม่ค่อยมีเเดด ตลอดห้าวันที่อยู่ที่นี่หาวันที่มีเเดดน้อยมาก
ช่วงที่ไปมีการเปลี่ยนเวรยามเเละสวนสนามของทหารเฝ้าประตูวังด้วย ดูเพลินเลย เเต่สงสารพี่ทหารท่าทางจะหนาว
เราเดินดูไม่ได้โดยรอบเพราะพื้นที่เยอะมาก เเถมอากาศหนาวอีกต่างหาก ถ้าจะมาเกาหลีควรมาตอนอากาศกำลังเย็น ๆ สบายน่าจะดีกว่า
เราออกจากพระราชวังก็เกือบเที่ยง เลยเดินไปหาอะไรทานเเถวร้านข้างทาง เเละเเล้วเราก็ได้ใช้ภาษาใบ้กับป้าเจ้าของร้านสำเร็จ ฮ่า ฮ่า เเต่กรรมอาหารที่สั่งดันมีเเต่ผัก เเล้วเป็นซุปน้ำเผ็ด ๆ จริง ๆ รสชาติก็อร่อยใช้ได้เเต่มันไม่อิ่มเนี่ยซิ เหอ เหอ เทียบราคาอาหารกับปริมาณของที่นี่ถือว่าไม่เเพงนะ
ช่วงบ่ายเรามีเเพลนไปต่อกันที่หมู่บ้านวัฒนธรรมนัมซาลฮันอก ตอนเเรกที่หาจากอินเตอร์เนตเห็นโปรเเกรมช่วงปีใหม่เเล้วน่าสนใจมากเพราะว่ามีการเเสดงมากมาย เเต่มาเเล้วผิดหวังจริง ๆ ไม่มีอะไรซักอย่าง ยังดีได้เจอโอ่งทำกิมจิ ฮ่า ฮ่า
เดินวนเล่นอยู่ที่นี่ประมาณชั่วโมงได้เราเลยนั่งรสบัสต่อไปที่โซลทาวเวอร์ เเล้วก็เลยซื้อตั๋วเข้าดู Teddy bear museum ทีเดียวเลย
ในมิวเซียมก็จะอธิบายประวิติศาสตร์ของเกาหลีผ่านตัวน้องหมี ดูเเล้วน่ารักเพลินดี พอดีว่าเราเจอกรุ๊ปทัวร์ไทยก็เลยทำเนียนเดินตามไปด้วยเลย รอฟังว่าเค้าอธิบายอะไรบ้าง เดินได้ซักพักไม่ไหวเพราะเราฟังไกด์เกาหลีพูดไทยไม่ออกจริง ๆ (หรือเราจะเป็นคนเดียว) เคยอ่านจากอินเตอร์เนท ส่วนมากที่ไปกับทัวร์เค้าจะเลือกไกด์เกาหลีหน้าตาดี ตอนเเรกก็ไม่เชื่อ พอมาเจอ เออ หน้าตาดีจริง ๆ เหมือนคัดมาเเล้วหาไม่ได้ตามรถไฟใต้ดินนะเนี่ย เหอ เหอ
วิววันนี้จากโซลทาวเวอร์ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่เพราะว่าวันนี้อากาศทึมมาก ๆ ถ้าจะให้ดีมาตอนกลางคืนน่าจะสวยกว่านี้นะ
จุดนี้มีคนมาถ่ายเยอะมาก ตุ๊กตาสองตัวนี้มาจากซีรีย์เกาหลีใช่ป่ะ (ไม่เคยดู ฮ่า ฮ่า) เห็นพี่ ๆ คนไทยไปยืนถ่ายกันเยอะ
ขากลับเรานั่งรถรางลง เพราะว่าพี่ขวัญไม่เคยนั่ง สรุปคนอยากนั่งปิดตาตลอดทางเพราะว่ากลัวความสูง
มื้อเย็นเราสองคนหิวมากเพราะเมื่อตอนกลางวันดันสั่งอาหารมังสวิรัติกันมาหม่ำ มื้อเย็นเลยจัดกันหนักหน่อย เข้าไปในร้านก็ยังไม่เข้าใจว่ามันคือะไร เลยสั่งว่าเอาเเบบโต๊ะข้าง ๆ น่ะเเหล่ะ สุดท้ายได้เป็นปลาหมึก กุ้ง หมู มาผัดกะข้าวพร้อมพริกเผ็ด ๆ (ขอบอกว่าเผ็ดมาก) เราสองคนหม่ำกันอย่างเอร็ดอร่อยเเต่หารู้ไม่ว่านรกกำลังมาเยือน เพราะว่าหลังจากมื้อนี้เราสองคนท้องเสียกันเป็นวันเลย ฮาาาาาา
ปอลิง กลับโรงเเรม พี่ขวัญดันเปิดฮีทเตอร์เเรง เราตื่นขึ้นมาเหงื่อท่วมเลย เอเมน
new year trip@Korea (1) มาถึงก็หนาวกว่า
ทริปนี้เกิดจากความไม่ตั้งใจ เพราะว่าเราไม่อยากเเห้งเเกร๊กอยู่ที่ญี่ปุ่นตอนปีใหม่ มีอยู่ปีนึงเคยไม่ไปไหน เดินวนเวียนเเถวบ้าน เงียบเป็นเมืองร้างเพราะว่าปีใหม่เค้าก็กลับไปฉลองกับครอบครัวกัน พอดีว่ามีโปรโมชั่นของแอร์เอเชียน่า ราคาไม่เเพง เเถมที่พักที่เกาหลีก็ถูกกว่า พอลองคำนวณว่าเที่ยวที่ญี่ปุ่นกับเที่ยวเกาหลีอย่างไหนถูกกว่า ก็สรุปว่าไปเมืองโสมน่าจะดีกว่า
ทริปนี้ฉุกละหุกมาก กว่าจะวางเเพลนได้ก็วันเกือบออกเดินทางว่าจะไปไหนกันดี ทริปนี้ไปกันสองสาวเเต่มีรูปเราซะเยอะ ฮ่า ฮ่า
พอมาถึงที่เกาหลี อากาศหนาวมากติดลบเกือบทุกวัน เดินก้าวขาสมองไม่ต้องสั่งเพราะว่าเดิ สมองมันชาคิดไรไม่ออก ฮ่า ฮ่า
มาถึงก็งง ๆ กันนิดหน่อยว่าจะไปยังไงต่อดี บัสหรือว่ารถไฟ สรุปนั่งรถไฟไปลงกลางโซลเเล้วค่อยคิดต่อว่าจะไปเที่ยวเลยหรือว่าเข้าที่พัก เเต่คาดการณ์ผิดเพราะว่าตู้ฝากของเต็มทุกช่อง สุดท้ายเลยต้องเเบกกระเป๋าเอาไปฝากไว้ที่โรงเเรมกันก่อนไปต่อ
มื้อเเรกที่โซลที่เรามาหม่ำเป็นร้านเเถวโรงเเรม เห็นร้านเขียนว่าสะอาด ก็ดูน่าจะปลอดภัยดีเพราะว่าเราเป็นคนท้องเบามาก กินไรเเปลกนิดหน่อยก็ต้องถ่ายตลอด เลยหาอะไรร้อน ๆ หม่ำกัน ดูเมนูไก่ต้มโสมท่าทางน่าจะอร่อย พอมาถึงตกใจมาก ไก่มาเป็นตัว ๆ เลยคร๊าบบบ เเถมกิมจิก็มาเป็นโถ ๆ เรากับพี่ขวัญเลยคิดกันว่าคนที่นี่เค้ากินกันอลังการดีเนอะ พอจบมื้อนี้เราสองคนเลยไม่ทานไรกันต่อเพราะจุกไก่ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวกินไก่มาทันที ฮ่า่ ฮ่า
พออิ่มท้องเราก็ไปไหว้พระไหว้เจ้ากันก่อน เหตุเพราะพี่ขวัญกลัวว่าเราจะเจอสิ่งไม่มีชีวิตในโรงเเรมเลยให้เรามาไหว้พระก่อน ที่วัด Jogyesa Temple ตอนเเรกขึ้นมาจากรถไฟใต้ดินเดินหลงไปมา หนาวก็หนาว เจอคู่เเม่ลูกเลยปรี่เข้าไปถามทาง คุณลูกดูท่าทางตื่นเต้นที่ได้เจอกะเหรี่ยงอย่างเรามาก บ๊าย ๆ ซะหลายที เด็กเกาหลีค่อนข้างจะตื่นตัวมากเมื่อเทียบกะเด็กญี่ปุ่น เท่าที่เราสังเกตุพ่อเเม่ญี่ปุ่นจะเข้มงวดกะลูกมาก เรียกว่าฝึกความเป็นระเบียบตั้งเเต่เด็ก ๆ ยกตัวอย่าง รอเข้าเเถวเข้าห้องน้ำ ต่อเเถวรอคิวเข้าร้านอาหาร เด็กญี่ปุ่นจะไม่มีคำว่างอเเง
ไหว้พระเสร็จก็ไปเดินเล่นต่อเมียงดง คนเยอะมาก ๆ มีเรื่องน่าตลกคือ พอพี่ขวัญเห็นยูนิโครเท่านั้นล่ะพุ่งเข้าหา เราก็งง ว่าที่ญี่ปุ่นก็มีนิ เหตุผลคือพี่ชอบ สรุปก็ได้เสื้อคลุมมาหนึ่งตัว เเต่ก็โอเคอ่ะ ราคาถูกกว่าที่ญี่ปุ่นนิดหน่อย
โดยส่วนตัว (จริงๆ) เราไม่ค่อยชอบที่นี่เท่าไหร่ เพราะว่าคนเยอะมาก เเล้วการเรียกลูกค้าเเบบดึงมือเข้าร้านเนี่ยเราไม่ชอบเลย เรามาเดินหาของกินสองวันก็โดนดึงทั้งสองวันเลย คนที่ดึงก็เป็นผู้ชายด้วยนะ พอเข้าไปในร้านโดยเฉพาะร้านเครื่องสำอางค์ พนักงานจะเดินตามเเบบประชิดตัวส่งตระกร้าให้ พยามยัดเยียดให้เราซื้อของเต็มที่ สรุปเราก็ไม่ได้อะไรเลย เเละก็ไม่กล้าเข้าร้านไหนอีกเลย กลัว อยากได้อะไรก็เลยรอไปซื้อในห้างหรือว่าดูตี้ฟรีดีกว่า
cleaning party
ตอนนี้เเถวบ้านกำลังสร้างหอพักใหม่ ใหญ่โตเเถมดูดีเลยเเหล่ะ เเต่สิ่งนึงที่เราสังเกตุได้ก็คือ เค้าเน้นเรื่องความปลอดภัยมาก ๆ เวลาที่เค้าสร้าง เค้าต้องกันพนักงานส่วนนึงมาคอยดูรอบ ๆ ตัวตึกที่ต้องมีคนเดินผ่านเพื่อดูเเลความปลอดภัย ทำให้เรารู้สึกว่าคนที่นี่เค้าใส่ใจในเรื่องรายละเอียดดีนะ เรื่องเล็กน้อยของเราเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเค้า เรื่องใหญ่สำหรับเราเป็นเรื่องใหญ่โตมากยิ่งกว่า เมื่อเช้าตอนที่เดินผ่านตึกก่อสร้าง พนักงานโค้งเราเเล้วโค้งเราอีก เเสดงว่าขออภัยเเล้วขออภัยอีกในความไม่สะดวก
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีทำความสะอาดเเลบครั้งใหญ่ก่อนปีใหม่ เป็นธรรมเนียมของทุกปี วิธีการก็รื้อทุกอย่าง ขนทุกอย่างที่เคลื่อนย้ายได้ออกจากห้องเเลบ เเล้วลงมือตั้งเเต่ปัดกวาด เช็ดถู ลงเเว๊กซ์ใหม่ ปีนึงจะมีทำความสะอาดประมาณสองรอบ กลางปีกับปลายปี พอเสร็จจากงานก็จะมีกินเลี้ยงใหญ่ของที่เเลบ ปีนี้โชคดีหน่อยเพราะว่าน้อง ๆ ที่เเลบค่อนข้างเงินน้อย เลี้ยงเเลบเเต่ละทีเลยไม่ต้องกระเป๋าฉีก มีอยู่ปีนึงน้อง ๆ ค่อนข้างมีฐานะ (ดี) ส่วนเราก็มีฐานะ (ยากจน ฮ่า ฮ่า) ปีนั้นเรียกว่าหมดไปกับค่ากินเลี้ยงที่เเลบกระจาย ถ้าเอาเงินมารวมคงถอยโทรทัศน์ใหม่ได้
มาเข้าเรื่องของงานเลี้ยงกันดีกว่า ปีนี้น้อง ๆ ทำนาเบะเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศหน้าหนาว อาหารอร่อย น้อง ๆ ครื้นเครง ในช่วงเเรก ๆ ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกคนสนุกสนานเฮฮา ส่วนเราก็เอนจอยลองเครื่องดื่มมึนเมาไปมั่ว ตอนนั้นเราเริ่มหน้าตึง ๆ นิดหน่อย หันไปอีกทีเซนเซใหญ่ที่เเลบดื่มไวน์หมดขวด เเละเเล้วเวลาของดราม่าก็เริ่ม
เซนเซ เริ่มบทสนทนาใหม่ถ้าเรียกเป็นภาษาไทยก็เริ่มสวดยาว ไล่ตั้งเเต่เด็กตรีมาจนจบที่โทปีสอง โชคดีที่เด็กเอกไม่โดน ที่โดนหนักสุดก็คงเป็นเด็กโทปีสองเพราะว่าปีหน้าต้องจบเเต่งานยังไม่เดินไปไหน อยู่ดี ๆ น้องโทรโข่ง ก็ร้องไห้ออกมา พร้อมระบายความรู้สึกในใจ เซนเซเห็นน้ำตาน้องเริ่มอาการเย็นลง ทีนี้เซนเซเลยเรียกตัวต่อตัวถามว่ามีอะไรจะระบายเกี่ยวกับความอึดอัดคับข้องใจบ้าง
เซนเซเรียกถามทุกคนมาจบที่เเหม่มซัง ตอนนั้นเรากำลังประมวลผลว่าจะตอบว่าไงดี สุดท้ายเลยบอกอาจารย์ไปว่า ช่วงนี้หนาวเเล้ว รบกวนเปิดฮีทเตอร์ด้วยค่ะ เอวัง เซนเซหัวเราะพรวดออกมา เฮ้อออออ เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนโยฟัง เพื่อนโยบอกเราว่า เรื่องของยูเนี่ยมีสาระสำคัญน้อยสุดเลยนะ
เเต่วันถัดมาห้องเเลบก็เปิดฮีทเตอร์อุ่นมาก ทุกคนมาขอบคุณเเหม่มซังที่ทำให้อาจารย์เปิดฮีทเตอร์ได้ ฮ่า ฮ่า
Tokyo again
ไปโตเกียวมา เนื่องจากเรามีภารกิจเป็นตัวเเทนนางงาม ไม่ช่ายยยย เป็นภารกิจตัวเเทนนักเรียนไทยของเมืองฮิโรชิมา เเหงดิเป็นปะธานเมือง เนื่องจากน้อง ๆ เลือกเพราะว่าอยู่เก่าเเก่มานาน ไม่กลับซักที หรือพูดง่าย ๆ ว่ามันเรียนไม่จบซักที
งานนี้เป็นงานวิชาการจัดขึ้นที่โตได หรือว่าโตเกียวยู งานนี้เรียกว่ารวมนักเรียนไทยจากทั่วประเทศมาเจอกันเลยทีเดียว งานนี้เราไม่ได้ไปคนเดียวเพราะว่าถึงขั้นต้องลากถูน้่อง ๆ พี่ ๆ ให้ไปเป็นเพื่อนกันหน่อย งานนี้เป็นประธานเมืองดี ๆ ไม่ชอบ ชอบหาเรื่องใส่ตัว ดันสมัครพรีเซนต์ผลงานเเบบพูดอีก กรรม ตอนสมัครรงานยังไม่เข้า พอใกล้ ๆ จะไปเหมือนโชคสามเด้ง ทุกอย่างมาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายอ่ะดิ เจอเข้าไปเยี่ยงนี้เเทนที่เราจะได้หลั่นล้าก่อนไปซะหน่อย ต้องมานั่งทำงานหัวขวิด จัดกระเป๋าก่อนวันไปเลยเหอะ ส่วนงานพรีเซนต์ก็ผ่านไปด้วยดี สิ่งที่ถูกใจสุดในงานคืออาหารไทยที่เลี้ยงมื้อค่ำ อร่อยม๊ากกกก ยกให้ห้าดาวครึ่ง อารมณ์เหมือนกินข้าวเเกงที่ไทย ไม่ได้ลิ้มรสเเบบนี้มานาน ฮ่า ฮ่า
ตอนไปโตเกียวไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเท่าไหร่ เพราะว่าตั้งเเต่มาอยู่นี่ก็ไปโตเกียวมันซะทุกปี บางปีก็สองสามรอบได้ เเต่ที่ไปครั้งนี้ได้ไปหม่ำหม้อไฟมา ไปเจอร้านอาหารไทยโดยบังเอิญ ใช้เเอ๊บน้องไอช่วยหาเจอร้านเเถว ๆ ฮาราจูกุ อร่อยเหาะมาก โป๊ะเเตกนี่เเบบว่าขนสิ่งมีชีวิตในทะเลมาเกือบทั้งหมด เเต่อาหารที่สั่งไม่เเน่ใจว่าพี่พ่อครัวนิบ้านเ้คาปลูกพริกเองเเหง สงสัยขนมาใส่ทั้งสวน เผ็ดมากกก หรือเค้าเห็นว่าเราเป็นคนไทย เเต่อยากจะบอกว่าหนูไม่ได้กินเผ็ดขนาดนั้นนนนน มื้อนี้กินไปน้ำตาไหลไป ซาบซึ้งได้กินอาหารไทยกับมันเผ็ดจริง ๆ นะ
กลับมาจากโตเกียวได้ซักพัก ใบไม้เเดงจนเกือบจะร่วงหมดเเล้ว ปีนี้ไม่ได้ไปดูใบไม้เเดงที่ไหนเป็นพิเศษ อาศัยถ่ายเอาจากเเถวบ้านบ้าง มหาลัยบ้าง
ปอลิง นั่งเขียนขณะหิมะตก หนาวมือเเข็งเลย ฮ่า ฮ่า เอนทรี่ที่อัพเบื้องต้นผ่านมาเเล้วประมาณเดือนกว่าได้